วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

Post-modernism

Post-Modern หรือ"ยุคหลังสมัยใหม่"
ซึ่งมาจากคำว่า Posteriority (สภาวะภายหลัง) มารวมกับคำว่า Modern (ใหม่) นั่นเอง

Postmodern
เป็นยุคสมัยที่มีช่วงเวลาเริ่มต้นอยู่ในปี คริสตศักราช 1960นั่นคือเป็นยุคที่เริ่มต้นหลัง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือนักออกแบบกราฟิกมีโปรแกรมสำเร็จรูปที่ช่วยให้สิ่งที่ทำได้ยาก สามารถทำได้ง่ายขึ้นแต่ในทางวัฒนธรรมและสังคมในสมัย Postmodern แทนที่จะเป็นยุคสมัยที่มีี่พัฒนาการมาจากสมัย Modern กลับกลายเป็น ยุคสมัยแห่งการต่อต้านและทำลายรูปแบบยุคสมัยก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ซึ่งทั้งหลายที่กล่าวมาล้วนมีอิทธิพลต่อวงการออกแบบกราฟิกเช่นกันในยุคนี้ งานออกแบบมักจะออกไปในรูปแบบของการนำเอาลักษณะเก่าๆ หรือรูปแบบต่างๆมาปะติดปะต่อกัน จนเกิดเป็นงานใหม่ที่ดูแปลกตา่ อย่างเช่น การผสมรูปแบบตัวอักษรระหว่าง Serif (ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวอักษร)และ Sans Serif (ตัวอักษรที่ไม่มีส่วนยื่น)จนกลายเป็น Semi Serif เป็นต้น
เรียกง่ายๆว่าเป็นรูปแบบที่มีลักษณะครึ่งๆ กลางๆ ทำให้ดูแปลกตาและน่าสนใจไปจากปกติลักษณะงานแบบนี้มีศัพท์เฉพาะในการออกแบบว่า"Pastiche"ซึ่งงานออกแบบส่วนใหญ่ในยุคนี้มักจะเป็นงานประเภทนี้นอกจากนี้ยังมีงานออกแบบที่เรียกว่า "Kitsch"ซึ่งมีความหมายว่า การออกแบบที่เกินพอดี หรือ ไม่มีความพอดี (Over Design) ซึ่งรูปแบบนี้มีน่าจะมีที่มาจากความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ซึ่งก่อให้เกิดจินตนาการแบบเกินจริง งานออกแบบในลักษณะนี้ได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจในการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน นักออกแบบที่นับเป็นแนวหน้าทางความคิดในยุคนี้อย่าง Emigre (เอมิเกร)ที่ให้ความสำคัญแก่ Typography (การจัดการตัวอักษร) ในยุค 80-90ได้เริ่มพัฒนาการออกแบบตัวอักษร ที่เรียกว่า "Cutting-edge Typeface" ขึ้นและนั่นเป็นเหมือนกับสิ่งที่แสดงถึงศักยภาพของ Typeface Designerในสมัยนั้นและเป็นที่รู้จักกันอย่างดีโดยทั่วไป

Emigre
มีส่วนทำให้ ยุค Postmodern เป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฟื่องฟูของ Digital Fontมีตัวอักษรในรูปแบบที่หลากหลายและแปลกตาเพิ่มขึ้นมากมาย ให้นักออกแบบได้ใช้กัน

Ray-gun
ที่ออกแบบโดย David Carson เป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงมากในวงการออกแบบในยุคนี้ Ray-gun เป็นหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของยุคสมัยได้อย่างชัดเจนการทำลายรูปแบบเดิมๆ อย่างระบบ Grid (ตาราง) หรือที่เรียกว่า Breaking the Gridก็ได้มีเกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้นับว่าเป็นการจงใจที่จะต่อต้านรูปแบบเดิมๆ ซึ่งมันก็นับได้ว่าเป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น

Thalia

เทพีธาเลีย (อังกฤษ: Thalia, กรีก: Θάλεια) เทพธิดาแห่งบทละครสนุก


เทพีธาเลีย เป็นเทพีแห่งแรงบันดาลใจและเป็นเทพีที่มีความงดงามมาก เป็นเทพีแห่งเรื่องราวสนุกสนาน มีลักษณะเด่นตรงที่ มือขวาถือม้วนกระดาษ และมือซ้ายถือหน้ากากตัวตลก ธาเลีย (Thalia Grace) ธิดาแห่งเทพซุส สามารถใช้มนตร์บังตาและสามารถใช้สายฟ้าได้ ควบคุมอากาศ ,ท้องฟ้าได้ เป็นเทพีองค์หนึ่งในสามองค์ในกลุ่ม เทพีชาริทีสในตำนานเทพเจ้ากรีก ที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “Three Graces” (ไตรเทพี)



เทพีธาเลีย เป็นธิดาของ ซูส และ ยูรีโนเม (Eurynome) เทพีชาริทีส หรือไตรเทพี (Charites)ตามตำนานเทพเจ้ากรีก “Charis” (กรีก: Χάρις หรือ ชาริส) ยูรีโนเม เป็นชายาองค์ที่สามของซูสเป็นธิดาของโอเชียนัสกับธีทิส ชื่อ ยูรีโนเม (Eurynome) ให้กำเนิดเทพอัปสรที่เรียกว่าเกรซ 3 องค์ คือ อกลาเอีย (Aglaia) ยูโฟรซีน (Euphrosyne) และธาเลีย (Thalia) เกรซนี้เป็นเทพอัปสรคุ้มครองพันธุ์ไม้ ซึ่งต่อมาเทพธิดาทั้งสามก็ไปเป็นเทพอัปสรรับใช้เทพีอโฟรไดที และมีหน้าที่สร้างความบันเทิงบนสวรรค์โอลิมปัส ร่วมกลุ่มกับมิวส์ ดิมิเตอร์ และเทพีธาเลียยังเป็นเทพีแห่งแรงบันดาลใจของเรื่องชวนหัว และกวีนิพนธ์เชิงอุดมคตินิยม 

เทพีธาเลียเป็นเทพีองค์หนึ่งในบรรดา “Charites” (กรีก: Χάρις หรือ “Graces” หรือ เทพีชาริทีส) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความมีเสน่ห์ ความงาม ธรรมชาติ การสร้างสรรค์ และ การเจริญพันธุ์


จำนวนเทพีชาริทีสเดิมมีด้วยกันสามองค์ ตั้งแต่องค์ที่มีอาวุโสที่สุดคือ เทพีอกลาเอีย (Aglaea หรือ ความงาม) เทพียูโฟรเซเน (Euphrosyne หรือ ความร่าเริง) และองค์ที่อาวุโสน้อยที่สุด เทพีธาเลีย (Thalia หรือ ความสนุก) ตำนานเทพเจ้าโรมันเรียกกันว่า “กราทิเอ” (Gratiae) หรือเทพีแห่งความสง่างาม (Grace)



เทพีชาริทีส มักจะถือกันว่าเป็นธิดาของ ซูสและยูรีโนเม (Eurynome) แต่บางครั้ง ก็กล่าวว่าเป็นธิดาของไดโอนิซัสและแอฟรอไดที หรือธิดาของเทพเฮลิออสและเทพีเอเกิล โฮเมอร์บรรยายว่า เทพีชาริทีสเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของแอฟรอไดท์