วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

หอไอเฟล

ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ 
พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอคอยได้สร้างเสร็จ และเป็น 1 ในสิ่งก่อสร้างในงาน EXPO
พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - ฟ้าผ่าหอไอเฟล จึงได้มีการซ่อมยอดของหอ สูง 100 เมตร (330 ฟุต) และเปลี่ยนดวงไฟที่เสียหาย
พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) หอเสียตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ให้แก่ตึกไครส์เลอร์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1925 - 1934) ประดับไฟ 3 ด้านใน 4 ด้านของหอ
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) เมื่อนาซีเยอรมันสามารถยึดปารีสได้แล้ว ชาวฝรั่งเศสได้ตัดลิฟท์ออก ทำให้ฮิตเลอร์ต้องปีนบันได 1,665 ขั้น แต่เขาไม่ปีน เขาให้เอาธงเยอรมันไปปักไว้บนหอแทน แต่ธงผืนแรกนั้นใหญ่เกินไป ในเวลาไม่นานก็ถูกลมพัดตกลง เขาจึงเปลี่ยนให้เอาธงผืนเล็กกว่าไปปักแทน ส่วนการซ่อมลิฟท์เป็นไปได้ยากในเวลาสงคราม
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) เดือนสิงหาคม เมื่อฝ่ายพันธมิตรใกล้เข้ามา ฮิตเลอร์สั่ง Dietrich von Choltitz ให้เผาเมืองปารีส และหอทิ้ง แต่เขากลับฝืนคำสั่งไม่เผา หลังจากที่ ฝ่ายพันธมิตรยึดปารีสคืนได้ ลิฟท์ก็ถูกซ่อมให้ใช้งานได้ในไม่กี่ชั่วโมง
พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) วันที่ 3 มกราคม ไฟไหม้ยอดของหอ และในปีเดียวกันนั้นก็ได้นำเสาอากาศวิทยุไปติ้งตั้งบนยอดด้วย
ทศวรรษที่ 1980 ได้มีการเคลื่อนย้ายรื้อร้านอาหารที่เก่าแก่ในหอออก ไปสร้างใหม่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาแทน
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ได้มีการติดตั้งโคมไฟบนยอดของหอ
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) วันที่ 28 พฤศจิกายน หอไอเฟลต้อนรับแขกคนที่ 200 ล้าน
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) วันที่ 22 กรกฎาคม ไฟไหม้ยอดของหอ ในห้องเก็บของอีกครั้ง ใช้เวลาดับไฟประมาณ 40 นาที

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
             หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอฟแฟล; อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วยหอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
                                              
เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)

                                                                    
                                                                       ข้อมูล
ที่ตั้งธงชาติของฝรั่งเศส ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
สถานะเสร็จสมบูรณ์
เริ่มก่อสร้าง31 มีนาคม พ.ศ. 2432
ก่อสร้างพ.ศ. 2430 - พ.ศ. 2432
(2 ปี 2 เดือน 5 วัน)
การใช้งานหอสังเกตการณ์ หอกระจายคลื่นวิทยุ
ความสูง
เสาอากาศ / ยอด324 เมตร (1,063 ฟุต)
หลังคา300.65 เมตร (986 ฟุต)
บริษัท
สถาปนิกสตีเฟน โซแวสตร์
วิศวกรโมริส โกชแล็งและเอมีล นูกูนิเยร์
หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครส์เลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต)
        
 น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้นหอไอเฟล เป็นสถาปัตยกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความแปลกใหม่และทันสมัย 




         มีความงดงามและเป็นศิลปกรรมที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรำลึกถึงการปฏิวัติประชาชนที่มีอายุครบรอบ 100 ปี ใช้งบประมาณในการก่อสร้างถึง 71 ล้านฟรังค์ ผู้ที่ออกแบบหอไอเฟลคือ นาย กุสตาพ เอฟเฟล หอไอเฟลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากโครงเหล็กขนานใหญ่มีความสูงถึง 300 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างนาน 2 ปี  สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2432 จัดเป็นหอที่มีการออกแบบการก่อสร้างที่มีความผิดแผกแตกต่างจากการก่อสร้างในอดีตเป็นอย่างมาก ชั้นบนของหอไอเฟลจะมีอาคาร 3 ชั้น  ไว้คอยบริการอาหารและของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถชมทัศนียภาพที่งดงามจากกรุงปารีสได้จากชั้นบนสุดของอาคารที่เปิดโล่งเอาไว้ปัจจุบัน หอไอเฟล เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ทำให้ทุกคนนึกถึงประเทศฝรั่งเศสเพราะสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่นั้น เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความแปลกใหม่และไม่มีใครเหมือน แม้ว่าในปัจจุบันจะมีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย  แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่สามารถจะเข้ามาทดแทน หอไอเฟล ได้เลย

ของที่ระลึก โคมไฟหอไอเฟลซึ่งเป็นของที่ระลึกที่ได้รับความนิยม ถูกวางขายเรียงรายหน้าหอไอเฟล ในเทศกาล Nuit Blanche ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะประจำปีดังกล่าวนั้นสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้หลายพันคน และเป็นงานที่ประชาชนจะสามารถเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และห้องแสดงงานศิลปะต่างๆได้ตลอดทั้งคืน โดยไม่เสียค่าเข้าชม

โรงแรมที่ใกล้เคียงHotel Pershing Hall Paris - ปารีส 4 ดาว

49 Rue Pierre Charron, Paris, 75008 ฝรั่งเศส Hotel Pershing Hall Paris ที่อยู่ในเขต ชองป์ เอลิเซ่ ของ ปารีส อยู่ใกล้กับ Lido, Arc de Triomphe และ หอไอเฟลและอยู่ใกล้กับ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ และ วิหาร Notre Dameโรงแรม ใน ปารีส แห่งนี้มี ร้านอาหาร และ บาร์/เลานจ์สิ่งอำนวยความสะดวกของกิจกรรมประกอบด้วย ห้องประชุม และ ห้องประชุมขนาดเล็ก สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมได้แก่ บริการสปา, ห้องออกกำลังกาย และ บริการนำรถไปจอด
ห้องพัก โทรทัศน์มีช่อง ดาวเทียม มีบริการ อินเทอร์เน็ตไร้สาย ที่พักทั้งหมดมี ตู้นิรภัยในห้องพัก และ ...ราคาต่ำสุดที่11,763


วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

Post-modernism

Post-Modern หรือ"ยุคหลังสมัยใหม่"
ซึ่งมาจากคำว่า Posteriority (สภาวะภายหลัง) มารวมกับคำว่า Modern (ใหม่) นั่นเอง

Postmodern
เป็นยุคสมัยที่มีช่วงเวลาเริ่มต้นอยู่ในปี คริสตศักราช 1960นั่นคือเป็นยุคที่เริ่มต้นหลัง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือนักออกแบบกราฟิกมีโปรแกรมสำเร็จรูปที่ช่วยให้สิ่งที่ทำได้ยาก สามารถทำได้ง่ายขึ้นแต่ในทางวัฒนธรรมและสังคมในสมัย Postmodern แทนที่จะเป็นยุคสมัยที่มีี่พัฒนาการมาจากสมัย Modern กลับกลายเป็น ยุคสมัยแห่งการต่อต้านและทำลายรูปแบบยุคสมัยก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ซึ่งทั้งหลายที่กล่าวมาล้วนมีอิทธิพลต่อวงการออกแบบกราฟิกเช่นกันในยุคนี้ งานออกแบบมักจะออกไปในรูปแบบของการนำเอาลักษณะเก่าๆ หรือรูปแบบต่างๆมาปะติดปะต่อกัน จนเกิดเป็นงานใหม่ที่ดูแปลกตา่ อย่างเช่น การผสมรูปแบบตัวอักษรระหว่าง Serif (ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวอักษร)และ Sans Serif (ตัวอักษรที่ไม่มีส่วนยื่น)จนกลายเป็น Semi Serif เป็นต้น
เรียกง่ายๆว่าเป็นรูปแบบที่มีลักษณะครึ่งๆ กลางๆ ทำให้ดูแปลกตาและน่าสนใจไปจากปกติลักษณะงานแบบนี้มีศัพท์เฉพาะในการออกแบบว่า"Pastiche"ซึ่งงานออกแบบส่วนใหญ่ในยุคนี้มักจะเป็นงานประเภทนี้นอกจากนี้ยังมีงานออกแบบที่เรียกว่า "Kitsch"ซึ่งมีความหมายว่า การออกแบบที่เกินพอดี หรือ ไม่มีความพอดี (Over Design) ซึ่งรูปแบบนี้มีน่าจะมีที่มาจากความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ซึ่งก่อให้เกิดจินตนาการแบบเกินจริง งานออกแบบในลักษณะนี้ได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจในการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน นักออกแบบที่นับเป็นแนวหน้าทางความคิดในยุคนี้อย่าง Emigre (เอมิเกร)ที่ให้ความสำคัญแก่ Typography (การจัดการตัวอักษร) ในยุค 80-90ได้เริ่มพัฒนาการออกแบบตัวอักษร ที่เรียกว่า "Cutting-edge Typeface" ขึ้นและนั่นเป็นเหมือนกับสิ่งที่แสดงถึงศักยภาพของ Typeface Designerในสมัยนั้นและเป็นที่รู้จักกันอย่างดีโดยทั่วไป

Emigre
มีส่วนทำให้ ยุค Postmodern เป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฟื่องฟูของ Digital Fontมีตัวอักษรในรูปแบบที่หลากหลายและแปลกตาเพิ่มขึ้นมากมาย ให้นักออกแบบได้ใช้กัน

Ray-gun
ที่ออกแบบโดย David Carson เป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงมากในวงการออกแบบในยุคนี้ Ray-gun เป็นหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของยุคสมัยได้อย่างชัดเจนการทำลายรูปแบบเดิมๆ อย่างระบบ Grid (ตาราง) หรือที่เรียกว่า Breaking the Gridก็ได้มีเกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้นับว่าเป็นการจงใจที่จะต่อต้านรูปแบบเดิมๆ ซึ่งมันก็นับได้ว่าเป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น

Thalia

เทพีธาเลีย (อังกฤษ: Thalia, กรีก: Θάλεια) เทพธิดาแห่งบทละครสนุก


เทพีธาเลีย เป็นเทพีแห่งแรงบันดาลใจและเป็นเทพีที่มีความงดงามมาก เป็นเทพีแห่งเรื่องราวสนุกสนาน มีลักษณะเด่นตรงที่ มือขวาถือม้วนกระดาษ และมือซ้ายถือหน้ากากตัวตลก ธาเลีย (Thalia Grace) ธิดาแห่งเทพซุส สามารถใช้มนตร์บังตาและสามารถใช้สายฟ้าได้ ควบคุมอากาศ ,ท้องฟ้าได้ เป็นเทพีองค์หนึ่งในสามองค์ในกลุ่ม เทพีชาริทีสในตำนานเทพเจ้ากรีก ที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “Three Graces” (ไตรเทพี)



เทพีธาเลีย เป็นธิดาของ ซูส และ ยูรีโนเม (Eurynome) เทพีชาริทีส หรือไตรเทพี (Charites)ตามตำนานเทพเจ้ากรีก “Charis” (กรีก: Χάρις หรือ ชาริส) ยูรีโนเม เป็นชายาองค์ที่สามของซูสเป็นธิดาของโอเชียนัสกับธีทิส ชื่อ ยูรีโนเม (Eurynome) ให้กำเนิดเทพอัปสรที่เรียกว่าเกรซ 3 องค์ คือ อกลาเอีย (Aglaia) ยูโฟรซีน (Euphrosyne) และธาเลีย (Thalia) เกรซนี้เป็นเทพอัปสรคุ้มครองพันธุ์ไม้ ซึ่งต่อมาเทพธิดาทั้งสามก็ไปเป็นเทพอัปสรรับใช้เทพีอโฟรไดที และมีหน้าที่สร้างความบันเทิงบนสวรรค์โอลิมปัส ร่วมกลุ่มกับมิวส์ ดิมิเตอร์ และเทพีธาเลียยังเป็นเทพีแห่งแรงบันดาลใจของเรื่องชวนหัว และกวีนิพนธ์เชิงอุดมคตินิยม 

เทพีธาเลียเป็นเทพีองค์หนึ่งในบรรดา “Charites” (กรีก: Χάρις หรือ “Graces” หรือ เทพีชาริทีส) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความมีเสน่ห์ ความงาม ธรรมชาติ การสร้างสรรค์ และ การเจริญพันธุ์


จำนวนเทพีชาริทีสเดิมมีด้วยกันสามองค์ ตั้งแต่องค์ที่มีอาวุโสที่สุดคือ เทพีอกลาเอีย (Aglaea หรือ ความงาม) เทพียูโฟรเซเน (Euphrosyne หรือ ความร่าเริง) และองค์ที่อาวุโสน้อยที่สุด เทพีธาเลีย (Thalia หรือ ความสนุก) ตำนานเทพเจ้าโรมันเรียกกันว่า “กราทิเอ” (Gratiae) หรือเทพีแห่งความสง่างาม (Grace)



เทพีชาริทีส มักจะถือกันว่าเป็นธิดาของ ซูสและยูรีโนเม (Eurynome) แต่บางครั้ง ก็กล่าวว่าเป็นธิดาของไดโอนิซัสและแอฟรอไดที หรือธิดาของเทพเฮลิออสและเทพีเอเกิล โฮเมอร์บรรยายว่า เทพีชาริทีสเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของแอฟรอไดท์